Wednesday, August 20, 2008

เม็ดพริกไทยดำกลายเป็นยาเอก รักษาโรคด่างขาวที่ ทำขายหน้า

เม็ดพริกไทยดำ กลายเป็นยารักษา“โรคด่างขาว” อันเนื่องจากผิวหนังบางแห่ง ขาดสีตามธรรมชาติ ทำให้เกิดรอยด่างขาว สร้างความอับอายให้กับเจ้าตัว จนแทบกลายเป็นโรคกลัวสังคมไปวารสารวิชาการ “โรคผิวหนัง” รายงานว่า วิทยาลัยแพทย์คิงส์ คอลเลจ ลอนดอน ได้ศึกษาพบว่าสารประกอบไปเปอรีน ที่ทำให้พริกไทยดำมีรสและกลิ่นเผ็ด ฉุน มีสรรพคุณกระตุ้นให้เกิดการผลิตสีขึ้นของผิวหนังได้ วิธีการรักษาที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ใช้ยาคอร์ติโคสเตรอยด์ทาที่ผิวหนัง และฉายแสงอัลตราไวโอเลตหรือยูวี หากแต่ได้ผลไม่ถึง 1 ใน 4 นอกจากนั้นการใช้รังสียูวี ยังอาจทำให้ เกิดจุดสีซ้อน และเป็นรอยด่าง โดยเฉพาะเมื่อใช้ไปนานๆ อาจทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังมากขึ้นคณะนักวิจัยได้ศึกษาการใช้ไปเปอรีน และสารเคมีอนุพันธุ์สังเคราะห์อื่นของมันกับหนู ทั้งโดยร่วมกับการฉายแสงหรือล้วนๆ ได้ผลว่า หากใช้เพียงไปเปอรีนกับสารอนุพันธุ์อื่น ของมันอีก 2 อย่าง จะสามารถกระตุ้นให้เกิดสี มักเป็นสีน้ำตาลอ่อนขึ้นแค่ในเวลาแค่เดือนครึ่ง แต่ถ้าหากใช้ร่วมกับการฉายแสง จะทำให้ผิวหนังมี สีเข้มข้น ได้ผลเร็วและนานขึ้นด้วย.

Tuesday, May 27, 2008

ถามตอบ ปัญหาจาก โรคด่างขาว จาก โรคพยาบาล วิชัยยุทธ

รคด่างขาว
Q. ผมมีญาติคนหนึ่งเป็นโรคด่างขาว ไม่ทราบว่าเป็นโรค ผิวหนังที่จะติดต่อกันได้หรือเปล่าครับ
A. โรคด่างขาวหรือภาษาแพทย์เรียกว่า Vitiligo นั้นเกิด เพราะเซลสร้างเม็ดสีในบางตำแหน่งของผิวหนัง ไม่สร้างเม็ดสีโดยยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ทำให้เกิด เป็นรอยด่างขาวชัดเจนเหมือนสีน้ำนมตามตำแหน่งที่ ไม่มีเม็ดสี ( ภาพที่ 9 - ด่างขาว ) ตำแหน่งที่มักพบโรคด่างขาวได้บ่อยคือใบหน้า คอ มือ ตามซอกพับเช่น ที่รักแร้และขาหนีบ นม อวัยวะเพศ และตำแหน่งที่ผิวหนังได้รับการบาดเจ็บมาก่อนเช่น จากรอยบาด ขีดข่วนหรือไฟไหม้น้ำร้อนลวก เชื่อว่า โอกาสเป็นโรคด่างขาวมีหนึ่งในร้อย คือประชากรทั่วไป 100 คน จะมีอย่างน้อย 1 คนที่เป็นด่างขาว และคน ที่เป็นด่างขาวส่วนใหญ่มีสุขภาพร่างกายปกติดี

ภาพที่ 9 โรคด่างขาว

การรักษาโรคด่างขาวเป็นเรื่องที่ทำได้ค่อนข้าง ลำบากครับ หลักใหญ่ในการรักษามี 2 ทาง ทางแรก คือพยายามทำให้เซลสร้างเม็ดสีของบริเวณที่เป็น ด่างขาวหันกลับมาทำงานเป็นปกติอีกครั้ง ส่วนอีก หนทางคือการทำลายเซลสร้างเม็ดสีของผิวหนังปกติ ที่ยังเหลืออยู่ให้หมดไปเสียเลย จะได้ไม่ต้องมีรอยด่าง ให้เห็น
วิธีกระตุ้นให้มีการสร้างเม็ดสีขึ้นใหม่นั้น แพทย์ อาจพิจารณาให้ยากินบางตัว หลังจากนั้นพักหนึ่งก็ให้ ออกไปอาบแดด วิธีนี้อาจช่วยกระตุ้นให้เซลสร้างเม็ดสี กลับมาทำงานใหม่ได้ วิธีนี้โดยทั่วไปแล้วเหมาะสำหรับ ผู้ที่ยังเป็นด่างขาวมานานไม่เกิน 5 ปี โดยทั่วไปแล้วพบว่าเด็กและผู้ใหญ่ในวัยช่วงต้น ตอบสนองต่อวิธีนี้ค่อน ข้างดี แต่อย่างไรก็ตามวิธีนี้ต้องอาศัยความอดทนมาก ส่วนใหญ่แล้วจะมีการสร้างเม็ดสีเกิดขึ้นใหม่บางตำแหน่ง แต่มักไม่มีสีปกติขึ้นหมดทุกจุด ด่างขาวที่ใบหน้ามัก ตอบสนองต่อการรักษาได้ดี แต่ด่างขาวที่ปลายมือ ปลายเท้ามักดื้อต่อการรักษา
หากมีด่างขาวเกินร้อยละ 50 คือเกินครึ่งหนึ่ง ของผิวหนังทั่วตัวและดื้อต่อการรักษา แพทย์อาจใช้วิธี ทำลายเซลสร้างเม็ดสีที่เหลือทั้งหมด โดยการใช้สารเคมี ที่ชื่อโมโนเบนซิลอีเธอร์ออฟไฮโดรควินโนน อย่างไรก็ ตามวิธีนี้ก็มีผลเสียต่อผิวหนังมาก เพราะเมื่อไม่มีเซล สร้างเม็ดสีคอยป้องกันผิวหนังจากแสงแดด ผิวหนังก็ จะไหม้แดดและเกิดมะเร็งของผิวหนังได้ง่ายมาก จึง ต้องคอยระมัดระวังหลบเลี่ยงแสงแดดอยู่เสมอ
อีกวิธีที่ช่วยให้รอยด่างขาวดูดีขึ้นได้ก็คือใช้ เมคอัพทึบแสง ทาทับบริเวณที่เป็นรอยด่าง ทำให้ผิวแล ดูมีสีกลมกลืนขึ้นได้ วิธีนี้อาจใช้กับรอยด่างขาวที่เป็น เฉพาะบางตำแหน่ง เช่น ที่ใบหน้า เป็นวิธีง่ายๆ และ ไม่มีข้อแทรกซ้อนจากการใช้ยาเหมือนวิธีอื่น
โรคด่างขาวไม่ใช่โรคติดต่อ ในอดีตบางประเทศ เคยเชื่อกันว่าด่างขาวเป็นโรคเดียวกับโรคเรื้อน ทำให้ ผู้ที่เป็นด่างขาวถูกรังเกียจและถูกกีดกันในการเข้าสังคม อย่างมาก ปัจจุบันนี้คนรู้จักโรคด่างขาวกันดีขึ้นครับ

เครื่องสำอางปกปิดรอย (Camoufage Makeup หรือCorrective cosmetics)

วันนี้ คงจะแนะนำให้รู้จักกับเครื่องสำอางประเภทหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติ ของสีผิวที่เรียกว่า Camouflage makeup หรือ "Corrective or Cover Cosmetics" กันนะครับ เพราะเครื่องสำอางประเภทนี้ ยังเป็นเครื่องสำอางที่ยังไม่แพร่หลาย ในเมืองไทย เท่าที่ควร แต่จะค่อนข้างมีประโยชน์สำหรับคนไข้หลายกลุ่มด้วยกัน และเป็นที่แพร่หลายในต่างประเทศ

Camouflage makeup คืออะไร
สำหรับ Camouflage makeup หรือ cosmetics ก็จัดเป็น highly opaque cosmetics ที่มีจุดประสงค์ สำหรับใช้ตบแต่งเพื่อปกปิดความผิดปกติของสีผิวต่าง ๆ เพื่อที่จะให้คนไข้ในกลุ่มดังกล่าว มีความมั่นใจ และมีความสุขในการดำเนินชีวิตมากขึ้น นะครับ

ข้อได้เปรียบของ Camouflage makeup ที่ต่างจากเครื่องสำอางทั่วไปที่ใช้ในการ ปกปิด เช่น Concealer หรือครีมรองพื้นทั่ว ๆ ไป ก็คือ Camouflage makeup จะติดทนกว่า มีสีให้เลือก มากกว่า และสามารถกันน้ำได้ ดังนั้นหลังจากการใช้ Camouflage makeup แล้ว คนไข้จึง สามารถจะไปทำกิจวัตรต่าง ๆ ได้อย่างสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน หรือการออกกำลังกาย อย่างเช่น การว่ายน้ำ เพราะ Camouflage makeup นั้นสามารถกันน้ำได้ (waterproof) หลาย ๆ ท่านอาจจะสงสัย นะครับว่า ถ้าโดนน้ำแล้วไม่หลุด แล้วเวลาทำความสะอาดจะใช้อะไรล้าง โปรดติดตาม ในรายละเอียดต่อไปนะครับ

ยกตัวอย่างสำหรับ Camouflage makeup ที่มีอยู่ตอนนี้ เช่น "Dermablend" corrective cosmetics
ในปี 1983 Dr. Craig Roberts ซึ่งวเป็นแพทย์ผิวหนังชาวอเมริกา ได้พัฒนา Dermablend corrective cosmetics ขึ้นมาสำหรับคนไข้ Vitiligo (ด่างขาว) โดยได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยอาศัยหลักของความปลอดภัยและผ่านขั้นตอนการทดสอบต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสม กับสภาพสีผิวต่าง ๆ กัน หลังจากนั้นผลิตภัณฑ์จึงได้เริ่มแพร่หลายและใช้กันกว้างขวาง มากยิ่งขึ้น โดยในระยะแรกนั้นก็เริ่มใช้ในการเสริมการรักษาคนไข้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับ ความผิดปกติของสีผิว (Pigmentary abnormality) รวมถึงใน Hollywood ซึ่งตอนแรก มีเฉพาะในกลุ่มดาราบางคน เช่น Michacl Jackson ซึ่ง Dr. steven A. victor ซึ่งเป็นแพทย์ผิวหนัง ประจำตัว Michacl Jackson ได้แนะนำให้ใช้เพื่อการปกปิด Vitiligo (ด่างขาว) ซึ่ง Michacl เป็นอยู่ จนถึงกับการพูดว่าเป็นเครื่องสำอางสำหรับ "The Michacl Jackson Disease" แต่ต่อมาก็เริ่มใช้กันแพร่หลายกันมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะใช้ในกลุ่มคนไข้ ที่มีความผิดปกติ ซึ่งต้องการความสวยงามในการ ตบแต่งใบหน้า เพราะ Dermablend สามารถจะแต่งได้อย่างสวยงามแนบเนียนกลมกลืน กับสีผิวและติดได้ทนและกันน้ำได้ หลังจากนั้นเป็นต้นมา Camouflage makeup ก็เริ่มรู้จักกันแพร่หลายมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระจายไปทั่วโลกซึ่งก็มีการใช้ทั้งใน วงการแพทย์สำหรับคนไข้ที่มีความผิดปกติของสีผิว เช่น Vitiligo (ด่างขาว) Melasma (ฝ้า) ปานแดง, ปานดำ, รอยดำจากสิว, เส้นเลือดขอด (เล็ก ๆ) ฯลฯ และยังนำมาใช้ในวงการเครื่องสำอางการตบแต่งที่ต้องการอาศัยความเรียบเนียน และติดทนรวมถึงกันน้ำได้ครับ

มาถึงตอนนี้คงต้องมาทำความเข้าใจซ้ำกันอีกครั้งหนึ่งนะครับว่า ไม่ใช่เป็นเครื่องสำอาง สำหรับการรักษา (Therapeutic) แต่สามารถใช้เสริมเข้าไปในการรักษาคนไข้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ในคนไข้ Melasma (ฝ้า) สำหรับตัว Melasma เราก็คงจะรักษา ในขั้นตอน หรือขบวนการต่าง ๆ ไปตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Bleaching agents (ยารักษาฝ้า) ครีมกันแดดหรือ การทำ Peeling (ลอกผิว) แต่สำหรับ Camouflage makeup นั้นก็สามารถใช้กับคนไข้ได้ ในรายที่อยากให้ ใบหน้าตัวเอง แลดูเรียบเนียน และมองไม่เห็นฝ้า… เน้นนะครับว่าสำหรับการรักษา ก็เป็นไปตามปกติ ไม่ได้หยุดการรักษา หรือตัวอย่างในคนไข้ Vitiligo ก็รักษากันไปตามปกติ แต่ก็สามารถใช้ เพื่อเป็นการปกปิด เพื่อทำให้คนไข้เกิดความมั่นใจในตัวเอง และมีความสวยงาม มากขึ้น นอกจากนั้นแล้วโดยเฉพาะสำหรับคนไข้ผู้หญิงซึ่งหลังจากตบแต่งด้วย Camouflage makeup แล้ว ก็ยังสามารถใช้ Color Cosmetic Makeup แล้ว ก็ยังสามารถจะใช้ Color Cosmetic Makeup ต่าง ๆ ได้ตามปกติด้วย

จะเลือกใช้ และใช้ Dermablend Camouflage makeup อย่างไร?
สำหรับ Camouflage makeup ที่ซึ่ง Dermablend นั้นจะแยกกลุ่มที่จะเลือกใช้เป็น 2 กลุ่มคือ

  1. Cover cream สำหรับการตกแต่งบริเวณใบหน้า
  2. Leg and body cover สำหรับการตกแต่งบริเวณลำตัวและแขนขา ซึ่งนอกจากนั้นก็ยังมี product ที่สำคัญอีกคือ
    1. Moisturizer สำหรับทาก่อนจะใช้ Cover cream หรือ Leg and body cover เพื่อความง่ายต่อการแต่ง
    2. Sitting Powder ซึ่งเป็นแป้งฝุ่นสีขาว เพื่อทำหน้าที่ดูดซับ ความมัน ของตัวเนื้อครีม และทำให้เนื้อครีมเกาะติดกับผิวได้ดี
    3. Cleanser/Remover สำหรับการทำความสะอาด สิ่งที่สำคัญที่สุดของเทคนิคการแต่งหน้าด้วย Dermablend หรือ color matching หรือการเลือกเฉดสีให้เข้าและเหมาะสมที่สุด ซึ่งบางครั้งอาจจำเป็นต้องใช้ การผสมสีเข้าช่วย ซึ่งโทนสีหลักใน Dermablend คือ โทนสีเหลือง และโทนสีแดง
สำหรับ Cover cream ที่ใช้สำหรับผิวหน้าจะมีสีให้เลือกทั้งหมด 10 เฉดสีด้วยกัน ซึ่งเทคนิคในการเลือกสีนั้นคือ
เทคนิคในการเลือกสี
  1. ในขณะที่เลือกสี ควรทำในที่ที่มีแสงธรรมชาติมากที่สุด และกว้างพอ
  2. การเลือกสีนอกจากจะเลือกให้เข้ากับสีผิวของคนไข้แล้ว ยังต้องให้ตรงกับ ความพอใจของคนไข้ด้วย
  3. ในกรณีที่ต้องผสมสี ไม่ควรจะใช้โทนสีเดียวกันผสมกันเอง ควรใช้โทนสีเหลือง ผสมกับสีแดง ซึ่งจะช่วยให้ดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น และสิ่งที่สำคัญก็คือ ต้องให้คนไข้จำส่วนผสมให้ได้ว่าใช้อัตราส่วนเท่าไหร่ด้วย
  4. สำหรับการ Test สีที่จะใช้บนใบหน้า ควรจะ Test บริเวณคาง เพื่อเทียบกับ ลำคอ ไม่ควรจะใช้บริเวณหน้าผากเพราะเป็นบริเวณ sun exposed ซึ่งมักจะมีสีคล้ำกว่า ซึ่งจะทำให้เกิดการเทียบสีผิดพลาด ทำให้สีที่ใช้เกิดความแตกต่างกันระหว่าง สีที่ใบหน้าและคอ
  5. การเลือกสีนั้น จุดประสงค์เพื่อที่จะปกปิดปัญหาสีผิวที่ผิดปกติ ดังนั้นการเลือกสีควรจะเลือกให้เข้ากับผิวปกติ ไม่ใช่เลือกให้เข้ากับสีที่ผิดปกติ

สำหรับเทคนิคการแต่งด้วย Dermablend คือ
  1. ทา Moisturizer ให้ทั่วบริเวณที่จะแต่งโดยมีจุดประสงค์เพื่อที่จะได้ทา Cover cream ได้ง่ายขึ้น และเพื่อความชุ่มชื้นของผิว
  2. สำหรับใบหน้า ใช้พายตัก Cover cream ออกมาตามปริมาณที่ต้องการ มาป้ายบน หลังมือ หลังจากนั้น ก็ใช้นิ้วละเลงเนื้อครีมกับผิว เพื่อที่จะได้ทำให้เนื้อครีม เริ่มอ่อนตัวลง หลังจากนั้นก็ใช้ sponge ป้ายตัว cover cream มาทาให้ทั่วหน้า และบริเวณใดที่ต้องการจะปกปิดเพิ่ม ก็ใช้นิ้ว Dab cover cream มาปิดซ้ำอีกครั้ง (ไม่ควรจะใช้การถู หรือเกลี่ยครีมออกจากบริเวณนั้น เพราะจะทำให้ต้องเพิ่ม cover cream เข้าไปเรื่อย ๆ ทำให้ดูหนา และไม่สวยงาม) สำหรับบริเวณลำตัวหรือแขนขา ก็แต่งเช่นเดียวกับบริเวณใบหน้า
  3. หลังจากลง Cover cream หรือ Leg and body cover แล้วก็ให้ลง Sitting Powder ทับ (สำหรับ Leg and body cover ควรทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ก่อนจะลง sitting powder แต่สำหรับ Cover cream สามารถลง Sitting Powder ได้เลย) ซึ่งการลง sitting powder ควรใช้วิธีเขย่าและเท Sitting Powder ลงบน puff และค่อย ๆ แตะไปบนบริเวณ เนื้อครีม (ห้ามใช้วิธีถู puff กับบริเวณที่ทาครีม) หลังจากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วจึงใช้แปรงปัดออกเบา ๆ (ห้ามใช้ puff ปัดออก) เพื่อปัดเอา Sitting powder ส่วนเกินออกก็เป็นการเสร็จสิ้นการแต่ง

หลังจากแต่งแล้วเราจะสังเกตว่าบริเวณที่แต่งอาจจะดูขาวเล็กน้อย เหมือนกับทาแป้งฝุ่น แต่พอคนไข้เริ่มมี activity เริ่มมีเหงื่อ แป้ง Sitting powder ส่วนที่เกิน (หลังจากการปัดออก) ก็จะเริ่มหลุดไป คนไข้ก็จะกลับมามีสีตามที่เราแต่งเอาไว้ไม่เหลือคราบขาว ๆ อีก

นอกจากนั้นสำหรับในคนไข้ผู้ชาย หากต้องการแต่งปิดเฉพาะจุดบกพร่องเฉย ๆ ก็ย่อมทำได้แต่จุดที่สำคัญคือ จะต้องเลือกสีให้กลมกลืนกับสีผิวปกติมากที่สุด

เทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับการแต่ง Camouflage makeup ปกปิดบริเวณ lesion ที่มีสีเข้มมากกว่าสีผิวปกติ เช่น Solar lentigine (กระแดด), Melasma (ฝ้า), Postinflammatory hyperpigmentation (รอยดำตามหลังการอักเสบ) คือ ควรจะใช้ Cover cream สีที่อ่อนกว่าสีผิว ทาลงไปบริเวณ lesion เสียก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยทาสี ที่เป็นสีเกี่ยวกับสีผิวทับอีกครั้งหนึ่ง

เอาล่ะครับ มาถึงตอนนี้หลายท่านคงพอจะเข้าหรือรู้เกี่ยวกับ Camouflage makeup หรือ Corrective หรือ Cover Cosmetics กันมากขึ้นแล้วนะครับ

ทิ้งท้ายไว้นะครับสำหรับ Camouflage makeup นั้นเราควรจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็น waterproof (กันน้ำได้) smudge-resistant (ไม่เป็นคราบด่าง), highly opaque, long-lasting (ติดทนนาน) nongreasy (ไม่มัน) fragrance-free (ไม่มีน้ำหอม) และที่สำคัญคือ ผ่านการทดสอบแล้ว จากแพทย์ผิวหนังว่าไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ และไม่ก่อให้เกิดสิวนะครับ



นพ.ปรารพ ประภายสาธก


อ้างอิงจาก http://www.elib-online.com/doctors/skin_makeup1.html

แนะนำเว็บไซต์ ที่เกี่ยวกับโรคด่างขาว หรือ Vitiligo

Vitiligo Support International (VSI) is a nonprofit, tax exempt organization based in the United States that has nearly 50,000 registered members, most of whom have vitiligo themselves or a family member with the condition. Access to our message boards, chat and many other features is free of charge. The website is open to anyone interested in learning more about vitiligo.

http://www.vitiligosupport.org/

พริกไทยดำช่วยรักษาโรคด่างขาวได้

ผลการวิจัยพบว่า พริกไทยดำช่วยรักษาโรคด่างขาว ซึ่งเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง โดยเซลล์สร้างสีที่ผิวหนังหยุดทำงาน ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นกลายเป็นด่างขาว

นักวิจัยจากวิทยาลัยคิงส์ คอลเลจ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พบว่า สารไพเพอริน (piperine) ซึ่งทำให้พริกไทยดำมีรสชาติที่เผ็ดร้อน เป็นสารที่ช่วยกระตุ้นให้เซลล์สร้างสีในผิวหนังทำงานได้ดียิ่งขึ้น

ปัจจุบันจะพบคนอังกฤษเป็นโรคด่างขาวในอัตราส่วน 1 ต่อ 100 ต้องใช้ยาจำพวกคอร์ทิโคสเตอรอยด์ส (corticosteroids) ช่วยรักษา และใช้เครื่องฉายแสงเป็นตัวบำบัด ซึ่งเรียกว่า “โฟโต้เทอราพี” เป็นการใช้รังสียูวีกระตุ้นให้เซลล์สร้างสีในผิวหนังทำงานได้ตามปกติ

แต่การใช้ยาคอร์ทิโคสเตอรอยด์สรักษานั้น จะช่วยให้เซลล์สร้างสีกลับมาทำงานได้ไม่ถึง 1 ใน 4 ส่วนการใช้วิธีฉายแสงที่มีรังสียูวี แม้จะทำให้เซลล์สร้างสีกลับมาทำงานได้จริง แต่สีผิวก็จะคล้ำขึ้นเป็นหย่อม ๆ จุด ๆ ไม่น่าดู และยังก่อให้เกิดความเสี่ยงจะเป็นมะเร็งผิวหนังได้ด้วย

ด้วยเหตุนี้ นักวิจัยจึงทดลองหาวิธีการรักษาในรูปแบบใหม่ ด้วยการศึกษาสารไพเพอรินที่อยู่ในพริกไทยดำ และได้ทดลองใช้กับหนู โดยให้หนูได้รับสารไพเพอรินอย่างเดียว หรือได้รับสารไพเพอรินควบคู่ไปกับการฉายแสงยูวี ปรากฏว่า ทั้งสองวิธีได้ผลดีไม่แตกต่างกัน คือ จะทำให้หนูมีสีผิวกลับมาเป็นปกติอีกครั้งภายใน 6 สัปดาห์ แต่การใช้รังสียูวีควบคู่ไปด้วย จะทำให้สีผิวคล้ำกว่าเดิมเล็กน้อย

นักวิจัยยอมรับว่า การใช้สารไพเพอรินในพริกไทยดำควบคู่ไปกับการฉายแสงยูวี จะช่วยให้ผู้ป่วยเป็นโรคด่างขาวกลับมาเป็นปกติได้เร็วกว่าการใช้วิธีฉายแสงยูวีเพียงอย่างเดียว

ถามตอบ ปัญหาจาก โรคด่างขาว จาก โรงพยาบาล รามคำแหง

ถาม - อยากทราบเกี่ยวกับโรคด่างขาวว่าจะมีวิธีรักษาให้หายขาดได้หรือเปล่าคะ เพราะว่าเป็นมาตั้งแต่อายุ 20 ปี จนตอนนี้อายุ 29 ปีแล้ว เป็นด่างขาวที่หน้าข้างขวาข้างเดียวค่ะ ตอนแรกใช้ยาทาแล้วตากแดด ต่อมาใช้ Dermatop cream ทาบ้างสลับกับกินmelanin แล้วตากแดด(ตอนทา dermatop ทาประมาณ 5 กรัมค่ะ พอหมดก็กินยาMelanin) หลังจากนั้นไม่ได้ใช้ยาใดๆเลย 4 -5 ปี ตอนนี้เริ่มทา Dermatop ได้ 2 ปีแล้ว แต่ยังลามอยู่ค่ะ

ตอบ -
ปัจจุบันการรักษาด่างขาวที่ได้ผลดี มีผลข้างเคียงน้อย ได้แก่การทายา Pimecrolimus หรือ Tacrolimus ร่วมกับการฉายแสงแดดเทียม (narrow band UVB) ครับ
_________________
นพ.สิริวัฒน์ ภัทรากาญจน์
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนัง
คลินิกผิวหนัง ศัลยกรรมเลเซอร์และความงาม
รพ.รามคำแหง
เวลาทำงาน
จันทร์, อังคาร, พฤหัสบดี 17:00-20:00 น.
เสาร์, อาทิตย์ 09:00-16:00 น.
โทร. 0-2374-0200-16 ต่อ 1250, 1259

ถามตอบ ปัญหาจาก โรคด่างขาว จาก Internet

ถาม-ใครรู้วิธีรักษาโรคด่างขาวบ้างและควรปฎิบัติตัวอย่างไร

ตอบ-ถ้าเป็นโรคนี้ในระยะเริ่มต้นหรือเป็นไม่มาก ไม่ต้องทำอะไร เพราะไม่มีอันตรายแต่อย่างใด โรคนี้ประมาณ 20-25% จะหายไปเองโดยไม่ต้องรักษา แต่ถ้าเป็นมากหรือลุกลาม ควรปรึกษาแพทย์ทางโรคผิวหนัง ซึ่งอาจให้ยารักษามีทั้งชนิดกินและทา เช่น ยาสเตียรอยด์ และยาน้ำสำหรับทาชนิดเจือจาง 0.1% หลังทายาควรให้ผิวหนังส่วนที่เป็นด่างขาวอาบแดดอ่อนๆ ในรายที่ไม่สะดวกที่จะนั่งตากแดดอาจใช้วิธีฉายแสงแทน

หากอาการดีขึ้นผิวหนังส่วนนั้นจะเริ่มแดงก่อน ต่อมาจะมีสีคล้ำ โดยเริ่มจากบริเวณรอบๆ ขนก่อน แล้วจะค่อยๆ ขยายกว้างออกไป หรืออาจเกิดสีดำบริเวณขอบของรอยด่างขาว ทำให้รอยด่างขาวแคบลง

Grafting
ตัดผิวที่ปกติมาแปะผิวบริเวณที่เป็นด่างขาว โดยลอกผิวที่เป็นด่างขาวทิ้งไป ได้ผลกับคนไข้กลุ่มน้อย และบริเวณที่แปะ สีผิวก็ไม่ได้กลับคืนมาทั้งหมด

การลอกสีผิวให้เป็นด่างขาวหมด [Depigmentation therapy]
ในรายที่เป็นมาก การลอกสีผิวปกติให้เป็นรอยโรคดูจะง่ายกว่าการรักษาให้สีผิวกลับเหมือนเดิม โดยทำให้ผิวขาวสม่ำเสมอกันทั้งตัว แลดูไม่น่าเกลียด โดยใช้ยาทาชื่อ monobenzylether of hydroquinone อาจต้องทาเป็นปีๆ สีผิวจะขาวแบบถาวร

ปัจจุบัน มีเลเซอร์ที่ใช้รักษาโรคด่างขาว คือ Excimer laser